เดือนกันยายนนี้ วงการฟุตบอลจะจับตาไปที่การประกาศรางวัล บัลลงดอร์ 2025 ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดที่นักฟุตบอลคนหนึ่งจะได้รับ โดยในปีนี้ความพิเศษอยู่ที่ “ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก” จะกลายเป็นสนามสุดท้ายที่มีผลต่อการชี้ชะตาผู้คว้ารางวัลแห่งปี นักเตะชั้นนำของโลกที่เข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้ต่างตระหนักดีว่านี่คือโอกาสทองสุดท้ายที่จะสร้างความประทับใจต่อสายตาสื่อมวลชนและผู้มีสิทธิ์โหวต ไม่ว่าจะเป็นผู้ทำประตูสำคัญ การพาทีมคว้าแชมป์ หรือแม้แต่การเล่นที่เปลี่ยนเกมได้ ทั้งหมดนี้จะถูกนำมาพิจารณาเพื่อเฟ้นหานักเตะที่คู่ควรกับมงกุฎลูกหนัง

บัลลงดอร์ 2025 เมื่อไม่มีเมสซีและโรนัลโด โลกฟุตบอลกำลังเปลี่ยนแปลง

เมื่อสองตำนานอย่างลิโอเนล เมสซี และคริสเตียโน โรนัลโด ต่างเลือกเดินจากเวทียุโรปไปตามเส้นทางใหม่ บัลลงดอร์ก็เหมือนถูกปลดล็อกออกจากเงาของพวกเขาในที่สุด ถึงแม้เมสซีจะเพิ่งคว้ารางวัลสมัยที่ 8 ไปเมื่อปี 2023 และนั่นก็เป็นการอำลาเวทีนี้อย่างยิ่งใหญ่ แต่ปี 2025 คือจุดเปลี่ยนที่แท้จริง เพราะในปีนี้ ไม่มีฟุตบอลยูโร หรือฟุตบอลโลก มาคั่นกลางเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผลงานในระดับสโมสรตลอดฤดูกาล 2024-25 กลายเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินว่าใครจะได้ชูถ้วยรางวัลทองคำอันทรงเกียรติ นักเตะรุ่นใหม่และดาวรุ่งที่โชว์ฟอร์มโดดเด่นในแชมเปี้ยนส์ลีกหรือฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก มีโอกาสแจ้งเกิดพร้อมคว้ารางวัลไปครอง

อุสมาน เดมเบเล่

อุสมาน เดมเบเล่

เดมเบเล่ เคยถูกพูดถึงว่าเป็นหนึ่งในนักเตะพรสวรรค์ที่หาตัวจับยาก แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เส้นทางอาชีพของเขากลับเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งอาการบาดเจ็บและฟอร์มที่ขาดความสม่ำเสมอ จนหลายคนเริ่มสงสัยว่าเขาจะไปถึงจุดสูงสุดได้จริงหรือไม่ แต่ฤดูกาล 2024-25 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเดมเบเล่กลายเป็นแกนหลักในแนวรุกของเปแอสเชภายใต้การคุมทีมของหลุยส์ เอ็นริเก้ ที่เชื่อมเกมรุกอย่างมีชั้นเชิงและทรงพลัง ผลลัพธ์คือ 35 ประตูรวมทุกรายการ ในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เดมเบเล่ยิงไป 8 ประตู และทำอีก 6 แอสซิสต์ ช่วยพาเปแอสเชคว้าแชมป์แบบน่าประทับใจ

ลามีน ยามาล

ลามีน ยามาล

ถ้าถามว่าใครคือผู้เล่นแนวรุกที่ครบเครื่องที่สุดของบาร์เซโลนาในเวลานี้ หลายคนคงนึกถึงราฟินญ่าแข้งบราซิเลียนผู้มากประสบการณ์ ที่ทั้งยิงและจ่ายได้สม่ำเสมอ แต่เมื่อคุณได้ติดตามทีมของฮานซี่ ฟลิคแม้เพียงไม่นาน ก็อาจพบว่าคำตอบนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะในแสงไฟของคัมป์นู มีดาวดวงใหม่ที่เปล่งประกายเกินวัย ลามีน ยามาล วัยเพียง 18 ปี คือความมหัศจรรย์ที่ยากจะอธิบาย เขาอาจยังเทียบราฟินญ่าในเรื่องตัวเลขไม่ได้ แต่ความสามารถในการดึงดูดเกม การเลี้ยงบอลที่เป็นธรรมชาติ และการตัดสินใจในพื้นที่แคบ ล้วนทำให้เขาดูไม่ธรรมดาจนน่าขนลุก

วิตินญ่า

วิตินญ่า

แม้เพื่อนร่วมทีมในแดนกลางหลายคนจะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายของรางวัลบัลลงดอร์ แต่ชื่อของวิตินญ่ากลับยังคงถูกพูดถึงอย่างจริงจังในฐานะหนึ่งในผู้เล่นที่ทำผลงานได้โดดเด่นตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา มิดฟิลด์ชาวโปรตุเกสรายนี้ทำหน้าที่ราวกับเป็นหัวใจของทีมเปแอสเช ภายใต้การคุมทีมของหลุยส์ เอ็นริเก้ เขาไม่ได้แค่เล่นสวย แต่เล่นอย่างมีระบบ กล้าเล่น กล้าสร้างจังหวะ และกล้าเปลี่ยนเกมในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความกดดัน แม้เปแอสเชจะพลาดแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกในโค้งสุดท้าย แต่นั่นไม่ได้กลบผลงานของวิตินญ่า ตลอด 11 เดือนที่ผ่านมา เขาคือหนึ่งในนักเตะที่สม่ำเสมอและน่าจับตามองที่สุดในยุโรป

ราฟินญ่า

ราฟินญ่า

ช่วงปลายยุคของชาบี เริ่มมีคำถามมากมายเกี่ยวกับอนาคตของราฟินญ่าในถิ่นคัมป์นู แต่ทันทีที่ฮันซี ฟลิค เข้ามาคุมทีม บรรยากาศก็เปลี่ยนไป กุนซือชาวเยอรมันประกาศชัดว่าเขายังมองเห็นศักยภาพของราฟินญ่า และเขามีแผนสำหรับนักเตะรายนี้ แทนที่จะเป็นแค่ปีกขวาแบบดั้งเดิม เขากลายเป็นเพลย์เมกเกอร์ฝั่งขวาที่ขยับเข้าด้านใน คอยเล่นประสานงานกับโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และวิ่งเจาะแนวรับจากแถวสอง ผลลัพธ์นั้นชัดเจน ราฟินญ่าจบฤดูกาล 2024-25 ด้วยตัวเลขที่น่าทึ่ง 34 ประตู 25 แอสซิสต์ จาก 57 เกม กลายเป็นหนึ่งในนักเตะคนสำคัญที่ช่วยให้บาร์เซโลน่าผ่านช่วงเปลี่ยนถ่ายทีมได้อย่างแข็งแกร่ง

โมฮัมเหม็ด ซาลาห์

โมฮัมเหม็ด ซาลาห์

ซาลาห์ยังคงเดินหน้าสร้างตำนานในสีเสื้อของลิเวอร์พูล ฤดูกาล 2024-25 เขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่น จนถูกพูดถึงในฐานะหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก แม้ว่าช่วงปลายฤดูกาลจะดูเงียบไปบ้าง แต่สิ่งที่เขาทำไว้ตลอดปีไม่มีทางถูกลืม แม้จะไม่สามารถทำลายสถิติแอสซิสต์ในฤดูกาลเดียวได้ตามที่หลายคนคาดหวัง แต่ซาลาห์ก็สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการมีส่วนร่วมกับประตูมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาลพรีเมียร์ลีกถึง 47 ประตู และคว้ารองเท้าทองคำไปครองอย่างภาคภูมิ ฤดูกาลนี้จะถูกจารึกไว้ในความทรงจำของแฟนบอลว่าเป็นหนึ่งในซีซั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

อัชราฟ ฮาคิมี่

อัชราฟ ฮาคิมี่

ฮาคิมี่ ไม่ใช่ฟูลแบ็คธรรมดา ๆ ที่เราคุ้นตา เขาคือนิยามใหม่ของผู้เล่นริมเส้นสมัยใหม่ ที่ไม่ได้แค่ป้องกัน แต่สามารถเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ด้วยตัวเอง ดูบอลออนไลน์ จากการเป็นวิงแบ็คกับดอร์ทมุนด์และอินเตอร์ มิลาน สู่การเป็นปีกแฝงให้กับเปแอสเช เอ็นริเก้รู้ดีว่าฮาคิมี่มีอะไรที่มากกว่านักเตะเกมรับทั่วไป จึงผลักดันให้เขาไม่ใช่แค่เติมเกมรุกทางกราบขวา แต่ยังแทรกเข้าไปในพื้นที่อันตรายระดับกองหน้า และมันก็ได้ผลอย่างมาก ฮาคิมี่กลายเป็นอาวุธลับของเปแอสเชที่คู่แข่งทุกทีมต้องหวั่นใจ และแม้จะเล่นในตำแหน่งแบ็กขวา แต่เขากลับจบฤดูกาลด้วยการยิงถึง 27 ประตู

คีเลียน เอ็มบัปเป้

คีเลียน เอ็มบัปเป้

แม้จะผ่านมาหลายปีนับตั้งแต่สร้างชื่อระดับโลกด้วยฟอร์มสุดร้อนแรงในฟุตบอลโลก 2018 แต่การคว้าบัลลงดอร์ของคีลิยัน เอ็มบัปเป้กลับยังคงเป็นเป้าหมายที่ต้องรอคอย ฤดูกาล 2024-25 เอ็มบัปเป้เริ่มต้นด้วยความหวังใหม่ หลังย้ายร่วมทัพเรอัล มาดริด ซึ่งหลายฝ่ายมองว่านี่คือก้าวสำคัญที่จะช่วยเปิดประตูสู่บัลลงดอร์ แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง มาดริดในยุคของคาร์โล อันเชล็อตติประสบปัญหาเรื่องสมดุลในทีม ฟอร์มโดยรวมไม่เสถียรพอจะพาทีมไปถึงความสำเร็จระดับสูงสุด แม้เอ็มบัปเป้จะคว้ารางวัลปิชิชี โทรฟี ด้วยจำนวนประตูมากที่สุดในลาลีกา แต่ภาพรวมของฤดูกาลก็ยังไม่เพียงพอจะผลักดันให้เขาเป็นตัวเต็งสำหรับบัลลงดอร์อย่างแท้จริง


สิ่งนี้ทำให้การแข่งขันเพื่อคว้ารางวัลลูกบอลทองคำอันทรงเกียรติ กลายเป็นเกมที่เปิดกว้างที่สุดในรอบหลายปี นักเตะจากหลากหลายสโมสรและหลายลีกมีโอกาสแจ้งเกิดเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะผู้เล่นที่อาจไม่ได้ประสบความสำเร็จในประเทศบ้านเกิด แต่สร้างผลงานสุดยอดในต่างแดน แล้วใครจะเป็นผู้คว้ารางวัลที่นักฟุตบอลทุกคนใฝ่ฝัน? เดือนกันยายนนี้ เราจะได้รู้กันว่าใครคือ “เบอร์หนึ่งของโลก” ในปีที่ไม่มีทีมชาติมาบดบังผลงานจากสโมสร

ติดตามไฮไลท์และผลวิเคราะห์บอลคู่อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่